นับว่าเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากสำหรับใครหลายคน ว่าระหว่าง ‘ที่นอน’ กับ ‘ท็อปเปอร์’ นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร เราควรจะเลือกซื้อที่นอนใหม่เลย หรือซื้อแค่ท็อปเปอร์ที่มีราคาประหยัดกว่ามาวางบนที่นอนเก่าก็เพียงพอแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า.. ในความเป็นจริงนั้นที่นอนและท็อปเปอร์มีการใช้งานและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน วันนี้ NON101 : บทเรียนพื้นฐานที่ควรรู้ จะมาอธิบายและคลายความสงสัยให้กับทุกคน ก่อนที่จะเลือกลงทุนซื้อที่นอน หรือซื้อท็อปเปอร์เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานมากที่สุดค่ะ ^^
ท็อปเปอร์ (Topper) หรือที่เรียกกันแบบเข้าใจง่ายๆว่าแผ่นรองนอน หรือเบาะรองนอน ในสมัยก่อนจะนิยมเรียกกันว่า ที่นอนปิกนิก เพราะสามารถม้วน และเคลื่อนย้ายไปได้ทุกสถานที่ มีหลากหลายวัสดุให้เลือกซื้อ เช่น ยางพารา ยางพาราอัด ฟองน้ำอัด หรือพวกวัสดุขนสัตว์ ขนเทียมต่างๆ ซึ่งโดยปกติแล้วท็อปเปอร์จะมีความหนาเพียงแค่ 1-4 นิ้วเท่านั้น ลักษณะการใช้งานจึงมีไว้สำหรับแค่วางซ้อนทับที่นอนปกติเพื่อปรับระดับความนุ่มให้กับที่นอนเดิม หรือปูวางกับพื้นสำหรับนอนเพียงชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากท็อปเปอร์มีลักษณะบาง โครงสร้างหรือวัสดุบางอย่างไม่ได้ถูกออกแบบมาให้สำหรับรองรับสรีระร่างกายได้ 100% และมีการยุบตัวที่ง่ายกว่า หากใช้แทนที่นอนเป็นระยะเวลานานอาจทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย และมีอาการปวดหลังตามมาได้
ข้อดีของ ‘ท็อปเปอร์’
- ช่วยเพิ่มระดับความนุ่มให้กับที่นอนเดิม ให้นอนสบายมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องซื้อที่นอนใหม่
- เพิ่มระดับความสูงของที่นอนให้มีความสวยงามมากขึ้นเมื่อวางลงบนเตียง
- น้ำหนักเบา สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย สามารถนำไปใช้ได้หลายสถานที่ ไม่ว่าจะปูบนที่นอน ปูบนพื้นสำหรับนอนเล่น/รองนั่ง หรือนำไปใช้นอกสถานที่อื่น ๆ
- ประหยัดพื้นที่ สามารถม้วนเก็บได้เมื่อไม่ใช้งาน
- ราคาไม่แพงเท่าที่นอน
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ ‘ท็อปเปอร์’
X สามารถวางท็อปเปอร์บนที่นอนที่ยุบหรือเป็นแอ่ง
ไม่ควรนำท็อปเปอร์มาวางบนที่นอนที่ยุบหรือเป็นแอ่งแล้ว เพราะหากโครงสร้างที่นอนเกิดการยุบตัวหรือเสื่อมสภาพไปแล้ว ถึงแม้จะวางท็อปเปอร์เสริม ที่นอนก็ยังจะเกิดการยุบตัวเหมือนเดิมเนื่องจากโครงสร้างเดิมไม่ดีแล้ว เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการปวดหลังได้
X ท็อปเปอร์ช่วยยืดอายุการใช้งานของที่นอน
หากที่นอนเสื่อมสภาพแล้ว การวางท็อปเปอร์ก็ไม่สามารถช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานได้เพราะว่าวัสดุที่นอนก็ยังมีอายุการใช้งานที่เท่าเดิม และเสื่อมสภาพตามการเวลา ที่นอนที่เสื่อมสภาพมักจะมีลักษณะนิ่มขึ้น หรือแข็งขึ้นจากเดิม บางกรณีอาจส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา และเป็นแหล่งรวมตัวของสิ่งสกปรกและเชื้อโรคอีกด้วย โดยปกติแล้วแนะนำว่าควรเปลี่ยนที่นอนใหม่เมื่อมีอายุการใช้งานที่นอนเกิน 10 ปีขึ้นไป
X ท็อปเปอร์ช่วยให้หายปวดหลัง
ท็อปเปอร์ที่มีคุณภาพอาจจะช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้ในระยะเวลาหนึ่ง แต่หากรากฐานโครงสร้างเดิมของที่นอนไม่ดี การวางท็อปเปอร์ก็ไม่สามารถช่วยให้หายปวดหลังได้ และหากท็อปเปอร์นั้นไม่มีคุณภาพที่ดีพอ ก็อาจจะยิ่งทำให้เกิดอาหารปวดหลังมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
X ท็อปเปอร์ช่วยป้องกันสิ่งสกปรก
แนะนำว่าหากต้องการป้องกันสิ่งสกปรกไม่ให้สัมผัสโดนที่นอนโดยตรง ควรเลือกใช้ผ้ารองกันเปื้อนมากกว่าท็อปเปอร์ เพราะมีคุณสมบัติการใช้งานที่แตกต่างกัน ผ้ารองกันเปื้อนจะมีลักษณะที่บางกว่าและเบากว่า สามารถนำไปซักทำความสะอาดได้สะดวกและบ่อยครั้งเหมือนผ้าปูที่นอน
ที่นอน (Mattress) หรือบางคนเรียกกันว่า ฟูก เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการนอน และสามารถส่งผลต่อสุขภาพกาย สุขภาพใจ เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเราในแต่ละวันเลยก็ว่าได้ ในปัจจุบันประเภทที่นอนที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้ก็จะมี ที่นอนพ็อกเก็ตสปริง (Pocket spring), ที่นอนเมมโมรี่โฟม (Memory foam) และที่นอนยางพารา (Latex) ซึ่งคุณภาพของที่นอนก็ขึ้นอยู่กับวัสดุและเทคนิคโครงสร้างที่แต่ละแบรนด์เลือกใช้ โดยที่นอนทั่วไปจะมีความหนาประมาณ 6-10 นิ้ว และในบางแบรนด์ด้วยวัสดุที่ใช้อาจทำให้ที่นอนมีความหนามากถึง 12 นิ้วก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าที่นอนจะมีราคาที่สูงกว่า แต่ถ้าเลือกซื้อที่นอนที่มีคุณภาพก็จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน เหมือนอย่างที่นอน Cattrena ที่มีการรับประกันที่นอนยุบตัว 10 ปี จึงเป็นการลงทุนในระยะยาวที่ได้ความคุ้มค่ากว่า นอกจากนั้นยังสามารถเลือกความนุ่มได้เองที่บ้านเพียงแค่พลิกด้าน (ด้านบนนุ่มแน่น ด้านล่างแข็งนุ่ม) ไม่ว่าจะเลือกนอนด้านไหนก็หลับสบายในทุกด้าน
ข้อดีของการซื้อที่นอนใหม่
- ที่นอนที่มีคุณภาพ จะผ่านกระบวนการคิดค้นเพื่อให้รองรับกับสรีระร่างกายผู้นอนได้เป็นอย่างดีในขณะที่นอนและไม่ทำให้ปวดหลัง
- ที่นอนที่มีคุณภาพ วัสดุและโครงสร้างที่นอนแข็งแรง สามารถรองรับน้ำหนักตัวได้มากกว่าท็อปเปอร์ และไม่เกิดการยุบตัวเมื่อใช้ไปนานๆ
- ที่นอนมีวัสดุ เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย เราจึงสามารถเลือกที่นอนที่เหมาะสมกับการนอนของเรามากที่สุดได้
- โดยปกติที่นอนที่มีคุณภาพจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ประมาณ 10 ปีขึ้นไป จึงเป็นการลงทุนในระยะยาวที่ได้ความคุ้มค่ากว่า ไม่ต้องเปลี่ยนที่นอนบ่อย หรือเสียเงินหลายรอบ
- หากเปลี่ยนที่นอนใหม่เมื่อที่นอนหมดอายุการใช้งานแล้ว ก็จะเป็นการช่วยกำจัดสิ่งสกปรก/เชื้อโรคที่สะสมอยู่ในที่นอนมานานหลายปี
มาถึงตรงนี้คงเริ่มตัดสินใจกันได้แล้วนะคะว่าควรจะเลือกซื้อที่นอนใหม่ หรือ ซื้อท็อปเปอร์ แนะนำให้ลองคิดจากจุดประสงค์การใช้งานของเราเป็นหลัก และไม่ว่าจะเลือกซื้อที่นอน หรือท็อปเปอร์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องศึกษารายละเอียดให้ดีก่อน ทั้งวัสดุที่ใช้ ราคาว่าคุ้มค่าไหม หรือแม้แต่การรับประกันต่างๆ เลือกซื้อของที่มีคุณภาพ เพียงเท่านี้ก็ทำให้มีความสุขกับการนอนในแต่ละวันแล้วค่ะ